ผ้ากันน้ำ คืออะไร?
1. Water-Repellent (กันน้ำระดับหนึ่ง)
คุณสมบัติ:
ผ้ามีสารเคลือบ เช่น PVC หรือ PU ที่ช่วยให้น้ำเกาะตัวเป็นเม็ดกลิ้ง off ได้ชั่วคราว แต่หากสัมผัสน้ำเป็นเวลานหรือมีแรงกด น้ำจะซึมผ่านได้
ประสิทธิภาพการกันน้ำจะลดลงเมื่อสารเคลือบเสื่อมสภาพจากการใช้งาน เช่น การซัก การพับ หรือการเสียดสี
ตัวอย่างผ้า:
ผ้าร่ม 210D/420D PU/PVC
ผ้าลิปสต๊อบเคลือบ PU/PVC
ผ้า 900D, 600D, 300D
การใช้งาน:
กระเป๋าผ้าแฟชั่น
ผ้าร่ม
เสื้อกันลมหรือเสื้อแจ็คเก็ต
กระเป๋าใช้งานทั่วไปที่ไม่ต้องการกันน้ำ 100%
2. Water-Proof (กันน้ำ 100%)
คุณสมบัติ:
น้ำไม่สามารถซึมผ่านเนื้อผ้าได้เลย แม้จะสัมผัสน้ำเป็นเวลานาน
เกิดจากการทอผ้าและการเคลือบสารกันน้ำไปพร้อมกัน หรือใช้เนื้อผ้าที่เป็นวัสดุกันน้ำโดยธรรมชาติ เช่น ผ้ายาง ผ้า PVC
ผ้ามีผิวสัมผัสที่แข็งและหยาบกว่า Water-Repellent
ตัวอย่างผ้า:
ผ้ายาง
ผ้า PVC
ผ้าเคลือบพลาสติก
ผ้าเต้น (ผ้าใยสังเคราะห์ที่ทอแน่นและเคลือบสารกันน้ำ)
การใช้งาน:
กระเป๋ากีฬาทางน้ำ (เช่น กระเป๋าดำน้ำ)
กระเป๋าภาคสนามหรือ Backpack สำหรับเดินป่า
เต็นท์กันน้ำ
ผ้าใบคลุมรถหรืออุปกรณ์กลางแจ้ง
3. ความแตกต่างระหว่าง Water-Repellent และ Water-Proof
4. ปัจจัยที่ทำให้สารเคลือบเสื่อมสภาพ
การซักทำความสะอาด: การซักบ่อยครั้งหรือใช้สารเคมีแรง ๆ อาจทำให้สารเคลือบ PU/PVC หลุดลอกได้
การเสียดสี: การใช้งานหนัก เช่น การพับ การขยี้ หรือการสัมผัสกับพื้นผิวแข็ง
สภาพแวดล้อม: แสง UV ความชื้นสูง หรืออุณหภูมิ extremes อาจทำให้สารเคลือบเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
5. การดูแลรักษาเนื้อผ้ากันน้ำ
Water-Repellent:
หลีกเลี่ยงการซักบ่อยครั้ง หากจำเป็นให้ซักมือและใช้สบู่อ่อน ๆ
ใช้สเปรย์เพิ่มสารกันน้ำ (Water-Repellent Spray) เพื่อฟื้นฟูประสิทธิภาพ
Water-Proof:
ทำความสะอาดด้วยการเช็ดด้วยผ้าชุบน้ำหมาด ๆ
หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารเคมีหรือความร้อนสูง
6. การเลือกใช้ผ้าให้เหมาะสมกับงาน
กระเป๋าแฟชั่น: มักเลือกผ้า Water-Repellent เพราะมีผิวสัมผัสที่นุ่มและสวยงาม
กระเป๋ากีฬาหรืออุปกรณ์กลางแจ้ง: มักเลือกผ้า Water-Proof เพื่อความทนทานและป้องกันน้ำได้ 100%
ด้วยข้อมูลเหล่านี้ จะช่วยให้สามารถเลือกใช้ผ้าได้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การใช้งาน และเข้าใจวิธีการดูแลรักษาเพื่อยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ได้ดียิ่งขึ้น!